Social :



ทำความรู้จักกับ สรรพคุณ และการปลูก กระทือ

09 ก.พ. 62 10:02
ทำความรู้จักกับ สรรพคุณ และการปลูก กระทือ

ทำความรู้จักกับ สรรพคุณ และการปลูก กระทือ

ทำความรู้จักกับ  สรรพคุณ  และการปลูก  กระทือ

กระทือ   (Shampoo  ginger)   จัดเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกประดับต้น  และดอก  เนื่องจากดอกมีลักษณะแปลกตา  และมีสีสันสวยงาม  นอกจากนั้น  ยังนิยมนำแก่นลำต้นหรือยอดอ่อนรวมถึงหัวอ่อนมารับประทาน


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น
กระทือจัดเป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุข้ามปี  มีลำต้นแบ่งออกเป็น  2  ส่วน  คือ
1. ลำต้นเหนือดิน
ลำต้นเหนือดิน  จัดเป็นไม้เนื้ออ่อน มีแกนเป็นเส้นใยในแนวตั้งตรง  มีลำต้นสูงประมาณ  1-1.5  เมตร  ลำต้นมีลักษณะกลม  ถูกหุ้มด้วยกาบใบ  ทั้งนี้  ลำต้น  และใบเหนือดินจะเหลือง  และแห้งในหน้าแล้ง  แล้วหน่อใหม่จะทยอยเติบโตขึ้นใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูฝน

2. ลำต้นใต้ดิน
ลำต้นใต้ดินหรือที่เรียกว่า  เหง้า  หรือ  หัว  จัดเป็นลำต้นที่อยู่ใต้ดิน  เหง้ามีลักษณะกลม  แยกออกเป็นแง่ง  และมีรากแขนงแทงลึกลงดิน คล้ายเหง้าข่า  แต่ละปลายแง่งจะเจริญเป็นหน่อแทงขึ้นกลายเป็นลำต้นเหนือดิน  เหง้าอ่อนหรือหน่อหน่ออ่อนมีกาบหุ้มหน่อสีม่วง  เนื้อเหง้ามีสีขาว  เหง้าแก่มีสีเหลืองอมน้ำตาล  เนื้อเหง้าด้านในมีสีเหลืองอ่อน มีรสขื่น  เผ็ด  และมีกลิ่นหอม  สามารถใช้เป็นเครื่องเทศใส่ในอาหารได้  แต่ไม่นิยมนัก

ใบ
กระทือเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แทงใบออกเยื้องสลับกันตามความสูงของลำต้น  ใบมีกาบใบหุ้มติดแน่นกับแกนลำต้น  ใบมีก้านใบสั้นติดกับกาบใบ  ใบมีรูปหอกยาว  กว้างประมาณ  5-10  เซนติเมตร และยาวประมาณ  20-40  เซนติเมตร  แผ่นใบเรียบ  ใบอ่อนมีสีเขียวสด  ใบแก่มีสีเขียวเข้ม  ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย  โคนใบสอบแคบ  ปลายใบแหลมเล็ก  แผ่นใบมองเห็นริ้วเป็นเส้นตามแนวยาวรางๆ  มีเส้นกลางใบขนาดใหญ่ชัดเจน

ดอก
กระทือออกดอกเป็นช่อ  แทงก้านช่อดอกตั้งตรงจากเหง้าขึ้นมาเหนือดิน  ก้านช่อดอกมีลักษณะกลม  ยาวประมาณ  15-45  เซนติเมตร  ตัวช่อดอกมีลักษณะกลม  กว้างประมาณ  4-5  เซนติเมตร ยาวประมาณ  7-12  เซนติเมตร  โคนช่อดอกกว้าง  และค่อยๆเล็กลง  และมนที่ปลาย  บนช่อดอกประกอบด้วยใบประดับที่ซ้อนเรียงติดกันเป็นกลีบๆ  แต่ละกลีบมีรูปสามเหลี่ยม  ปลายเหลี่ยมมน ขอบกลีบมีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ  ขนาดกว้างประมาณ  3-3.5  เซนติเมตร  สูงประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร ช่อดอกอ่อนมีใบประดับสีเขียว จากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงหรือสีแดงสด  เมื่อดอกบาน  ตัวดอกจะแทงออกจากซอกระหว่างใบประดับแต่ละอัน  โดยทยอยบานออกจากด้านบนลงด้านล่าง

ดอกย่อยแต่ละดอก  มีก้านดอกเป็นหลอด ยาวประมาณ  2.5  เซนติเมตร ถัดมาเป็นกลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบเลี้ยงมีรูปหอก แผ่นกลีบเลี้ยงเกลี้ยง สีขาวอมเหลือง ค่อนข้างโปร่งแสง  มีขนาดใหญ่กว่ากลีบดอก  ถัดมาด้านในเป็นกลีบดอก  จำนวน  3  กลีบ  ปลายกลีบดอกแยกออกเป็น  3  แฉก  แผ่นกลีบดอกเรียบ มีรูปหอก 
Lif
ปลายกลีบแหลม  มีสีขาวอมเหลือง กว้างประมาณ  1  เซนติเมตร ยาวประมาณ  1.5-2  เซนติเมตร  ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้  1  อัน  ที่มีอับเรณูสีเหลือง  ขนาดใหญ่  ด้านล่างเป็นเกสรเพศเมีย  และรังไข่รูปวงรี  ทั้งนี้  ดอกจะออกในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน

ผล  และเมล็ด
ผลกระทือจะแทรกอยู่ตรงซอกของใบประดับ มีรูปไข่กลับ  ขนาดผลกว้างประมาณ  0.5-1  เซนติเมตร ยาวประมาณ  1-1.5  เซนติเมตร  เนื้อหุ้มเมล็ดมีสีขาว  ด้านในมีเมล็ด  1  เมล็ด  ส่วนเมล็ดมีลักษณะกลม  เปลือกหุ้มเมล็ดมีสีดำ  ผิวเมล็ดเรียบ  และเป็นมัน  ทั้งนี้  จะติดผลในช่วงเดือนตุลาคม


1.  กระทือใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ  โดยเฉพาะเมื่อยามออกดอก เพราะตัวดอกมีลักษณะแปลกตา  ตัวดอกอาจตัดก้านนำมาปักแจกัญประดับตามห้องรับแขก
2.  หน่ออ่อนใช้รับประทานสดหรือลวกจิ้มน้ำพริก  หรือรับประทานเป็นผักคู่กับอาหาร รวมถึงใช้หน่ออ่อนหรือหน่อแก่ใส่ในต้ม  แกงต่างๆ  ช่วยในการดับกลิ่น  และเพิ่มกลิ่นหอม
3.  แกนลำต้นอ่อน และยอดอ่อนใช้รับประทานเป็นผักสดหรือลวกน้ำร้อน รวมถึงใช้ประกอบอาหารจำพวกผัดเผ็ดต่างๆ
4.  ใบใช้ห่อข้าว  ห่อของ ห่อปิ้งอาหาร
5.  ลำต้นนำมากรีดเป็นเส้น  ใช้ทำเป็นเชือกรัดของ
6. น้ำมันหอมระเหยจากดอกกระทือใช้ฆ่าตัวอ่อนของแมลง และลูกน้ำ  นอกจากนั้น  ยังสามารถลดการวางไข่ของด้วงถั่วเขียวได้  โดยใช้การฉีดพ่นในแปลง 


กระทือตามธรรมชาติจะแพร่ขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ  และการงอกของเมล็ด  แต่การแพร่ขยายพันธุ์จะใช้การแตกหน่อใหม่เป็นหลัก

การปลูกกระทือ  นิยมขุดแยกเหง้าหรือหน่อออกจากเหง้าแม่ แล้วนำปลูกลงแปลง  ซึ่งจะแตกต้นใหม่ และขยายจนเป็นกอใหญ่  โดยหน่อที่ขุดแยก ควรเป็นหน่อแก่  และให้มีลำต้นติดมาด้วย  แต่ให้ตัดเหลือลำต้นสูงประมาณ  15-20  เซนติเมตร  ก่อนนำลงปลูก

กระทือเป็นพืชที่ชอบดินเหนียวปนทรายหรือดินร่วนปนทราย ดินมีอินทรียวัตถุสูง  และมีความชื้นพอประมาณ  ดังนั้น  การปลูกที่ได้ผลจะต้องให้น้ำเป็นประจำหรือหากปลูกตามบ้าน  ควรปลูกใกล้กับบริเวณที่ใช้น้ำตลอดหรือมีความชื้นตลอด  อาทิ  ข้างบริเวณล้างจาน หรือหลังห้องน้ำ เป็นต้น



ข้อมูลอ้างอิง  :  https://puechkaset.com/

โพสต์โดย : POK@