เกาะสีชัง อีกหนึ่งเกาะที่อยู่ใกล้กรุงเทพ ใช้เวลาเดินทางเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น แม้เกาะสีชังจะใกล้กรุงเทพเพียงนิดเดียว แต่ฉันขอสารภาพว่าเที่ยวมาหลายปี แต่ไม่เคยไปเที่ยวเกาะสีชังซักครั้ง เคยแต่เห็นภาพและรับรู้เรื่องราวของเกาะนี้มาบ้าง รู้ว่า เกาะสีชัง ไม่ได้เป็นเพียงเกาะที่มีแต่น้ำทะเลสวย แต่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่มากไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เสน่ห์ของเกาะสีชังจะถูกตาต้องใจฉันมากน้อยแค่ไหน มาเที่ยวรับลมทะเลที่เกาะพร้อมเรียนรู้เรื่องราวอันน่าประทับใจของเกาะนี้ด้วยกันค่ะ
เมื่อมาถึงอ.ศรีราชา เดินทางต่อไปยังท่าเรือเกาะสีชังซึ่งตั้งอยู่บริเวณเกาะลอย หลังจากนั้นนั่งเรือข้ามฝั่งสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่ เรือที่เดินทางเป็นเรือยนต์ลำใหญ่ให้บริการทุกวันรอบแรกเรือออกเวลา 7 โมง และไม่ต้องห่วงว่าเรือจะขาดช่วงเพราะเรือข้ามไปยังเกาะสีชังออกทุกชั่วโมง จนถึงเวลา 2 ทุ่ม ค่าบริการเพียงคนละ 50 บาท สำหรับข้อมูลเกาะสีชังแบบละเอียด คลิ๊ก เกาะสีชัง
ระหว่างนั่งเรือก็จะพบเห็นเรือใหญ่ซึ่งน่าจะเป็นของทางนิคมอุตสาหกรรมจอดอยู่กลางทะเลอยู่หลายลำ
นั่งเรือเพียงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงเกาะสีชัง เกาะใหญ่กลางทะเลซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดชลบุรี ถือว่าเป็นเกาะที่ใหญ่และเจริญมากเลยทีเดียว เห็นบ้านเรือนผู้คนหลากสีสัน วัดวาอารามที่ตั้งอยู่บนเขาสูง เรือประมงจอดอยู่ที่ท่า บางลำก็วิ่งผ่านไปมา รู้สึกคล้ายกับเมืองเวนิส แต่เป็นเวนิสในแบบฉบับไทย ไทย
เมื่อมาถึงท่าเรือฝั่งเกาะสีชังก็ได้เวลาเที่ยวรอบเกาะ พาหนะที่จะพาเราไปทำความรู้จักกับเกาะสีชังมีหลายแบบทั้งมอเตอร์ไซค์ให้เช่าวันละ 250 บาท หรือรถสองแถว แต่ฉันเลือกพาหนะยอดฮิตบนเกาะนี้ คือ รถสกายแลป โดยปกติราคาจะอยู่ที่เที่ยวละ 250 บาท เที่ยวรอบเกาะ โดยแวะตามจุดท่องเที่ยวสำคัญดังนี้ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รอยพระพุทธบาท ช่องเชาขาด หาดถ้ำพัง และที่สุดท้ายคือ พระจุฑาธุชราชฐาน สถานที่แต่ละแห่งบนเกาะตั้งอยู่ไม่ไกลกัน รถจะพาเราไปตามจุดต่างๆ หากเราพร้อมไปยังจุดต่อไปก็โทรเรียกจะไม่ได้อยู่กับเราตลอด บางครั้งอาจต้องรอซักพักกว่าจะมา เพราะต้องวนรับส่งนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย แต่สำหรับฉันเผื่ออยากไปถ่ายภาพที่ไหนซ้ำอีกก็เช่าแบบเหมาทั้งวันให้อยู่กับเราตลอด ไม่ต้องรอหรือโทรตาม ราคารวมไปส่งที่พักด้วยเหมาวันละ 800 บาท
และเพื่อความเป็นสิริมงคลจุดแรกที่แวะบนเกาะสีชัง คือ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพนับถือ ลักษณะเป็นถ้ำซึ่งดัดแปลงเป็นศาสนสถานที่ผสมผสานด้วยสถาปัตยกรรมจีนและไทยภายในบริเวณศาลมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่น พระสังกัจจายน์ ศาลเจ้าแม่กวนอิม เจ้าพ่อเห้งเจีย ยิ่งเป็นตอนตรุษจีน คนจะมากันแน่นตรึม โดยเฉพาะชาวจีน และบอกต่อกันมาว่า “ใครมาไหว้ติดต่อกัน 7 ครั้ง ภายใน 7 ปี จะร่ำรวย ”
เจ้าพ่อเขาใหญ่ มีลักษณะเป็นรูปหินที่เกิดจากธรรมชาติเมื่อหลายหมื่นปีมาแล้ว จากจารึกภาษาจีนซึ่งได้มีคนมาแปลไว้บอกว่า มีซินแสผู้สูงอายุมาจอดทอดสมอเรืออยู่หน้าเกาะได้เห็นแสงไฟอยู่บนเขาจึงได้ปีนขึ้นไปดู พบรูปหินย้อยลักษณะเหมือนศีรษะคนตรงตามตำราจีนบอกว่าเป็นรูปเจ้าพ่อที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ อยู่ในถ้ำในเขากลางทะเลและหันหน้าไปทางทิศตะวันออกมีน้ำอยู่ข้างหน้าตามที่ชาวจีนโบราณเชื่อถือว่า “เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มหัศจรรย์”
จากบริเวณศาลมองเห็นจุดชมวิวซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์บ้านเรือนด้านหน้าเกาะสีชังได้อย่างชัดเจน
ไปต่อยังสถานที่ต่อไปนั่นคือ มณฑปรอยพระพุทธบาทจำลอง รถสกายแลปพาเราขึ้นเขาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนแล้ว แต่อากาศที่เกาะสีชังถือว่าไม่ร้อนค่ะ มีลมเย็นพัดมาตลอด ยิ่งได้นั่งรถตอนวิ่งเร็วๆ ด้วยแล้วยิ่งรู้สึกเย็นมากขึ้นอีกหลายเท่า
มณฑปรอยพระพุทธบาทจำลอง ถูกอัญเชิญมากจากพุทธคยา ประเทศอินเดียในสมัยรัชกาลที่ 5 บนยอดเขาเป็นจุดชมทิวทัศน์ทะเลได้โดยรอบ และที่นั้นยังมีเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทั้งสองนี้อยู่สูงสุดของสิ่งก่อสร้างทั้งหมดบนเกาะสีชัง
จากมณฑปรอยพระพุทธบาทจำลอง ไปต่อยังช่องเขาขาด หรือช่องอิสริยาภรณ์ ซึ่งหลายคงคุ้นเคยตากันมาบ้าง เพราะจุดนี้ถือว่าเป็นจุดไฮไลต์ที่สวยอีกจุดหนึ่งของเกาะสีชัง ตรงช่องเขาขาดจะมียื่นออกไป คล้ายกับแหลมพรมเทพ เรียกว่า แหลมมหาวชิราวุธ เป็นแหลมที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกาะสีชัง มีสะพานที่ทอดยาวยื่นออกไปยังแหลม
เห็นเรือคายัคพายอยู่ไกลๆ ลองเปลี่ยนเป็นเลนส์เทเลเพื่อจะซูมเข้าไปใกล้ซักหน่อย อีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้เมื่อใช้งานกล้องตัวนี้ก็คือ ความเร็วของโฟกัสที่ดีขึ้น โดยปกติเวลาฉันใช้เลนส์ซูมถ่ายภาพแล้วใช้กำลังซูมไปที่วัตถุเยอะๆ บางทีมีโฟกัสติดยากบ้าง แต่สำหรับ Nikon D5300 จับโฟกัสวัตถุได้เร็วแถมได้ภาพที่คมชัดพอสมควร
น้ำทะเลข้างล่างใสมาก
สะพานวชิราวุธ ที่ทอดยาวไปจนเกือบสุดปลายแหลม
เกาะสีชัง เป็นเกาะที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นภูเขาโขดหิน ไม่มีแม่น้ำลำธารและหนองบึง บ้านเรือนที่ปลูกสร้างส่วนใหญ่ต้องเจาะหินลงไปค่ะ
บ่ายแล้วรู้สึกหิว รถสกายแลปพามานั่งพักทานข้าว รับลมให้หายเหนื่อย ณ จุดหมายต่อไป นั่นคือ หาดถ้ำพัง ณ จุดนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อน เล่นน้ำ ทานอาหาร มีร้านอาหารทะเลให้บริการหลายหลาย
หาดถ้ำพังถือว่าเป็นชายหาดเพียงแห่งเดียวบนเกาะสีชังที่สามารถลงเล่นน้ำได้ น้ำทะเลของหาดใสใช้ได้เลยทีเดียว ติดที่คลื่นแรงไปซักหน่อย
ใช้ประโยชน์จาก LCD ของกล้อง ถ่ายภาพในมุมต่ำบ้าง
มาถึงจุดสุดท้ายซึ่งเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวรอบเกาะสีชัง พระจุฑาธุชราชฐาน แต่ก่อนจะเข้าไปข้างใน ตื่นเต้นกับน้ำทะเลที่อยู่ด้านหน้า สวยใสมาก ใสจนเห็นโขดหินที่อยู่ด้านล่าง แต่น้ำทะเลบริเวญนี้จะลงเล่นไม่ได้ เพราะเป็นเขตพระราชฐาน แต่ถ้าถ่ายภาพสัมผัสบรรยากาศได้ค่ะ
ด้านข้างมองเห็นสะพานอัษฎางค์อยู่ไม่ไกล
หันมองไปอีกฝั่งเห็นประภาคารอยู่ไกลลิบๆ
เพลิดเพลินกับน้ำทะเลใสก็ถึงเวลาเข้าไปใน พระจุฑาธุชราชฐาน พระราชวังบนเกาะแห่งเดียวในประเทศไทย อดีตเคยเป็นพระราชวังฤดูร้อนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สิ่งก่อสร้างในพระจุฑาธุชราชฐาน สิ่งแรกที่เราเจอ คือ สะพานอัษฎางค์ สะพานไม้สีขาวสุดคลาสิคยื่นไปในทะเล ซึ่งเราคงคุ้นตากับภาพคู่รักที่มาใช้สะพานแห่งนี้ถ่ายภาพพรีเวดดิ้งมาแล้วหลายคู่ น่าเสียดายตอนที่ฉันไปสะพานกำลังบูรณะชั่วคราวเลยไม่สามารถเข้าไปถ่ายภาพข้างในได้
ภายในพระราชวังอากาศดีมาก ค่อนข้างร่มรื่น มีลมพัดทะเลพัดเข้ามาตลอด ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยได้เสด็จประพาสเกาะสีชังหลายครั้ง มีพระราชดำรัสสรรเสริญเกาะสีชังว่า “เป็นที่อากาศดีผู้ซึ่งอยู่ในเกาะนี้จึงได้มีอายุยืน เพราะมิใคร่มีโรคภัยมาเบียดเบียน” ทรงเคยให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมาประทับรักษาอาการประชวรที่เกาะสีชังหลายพระองค์ ซึ่งอาการพระประชวรก็ทุเลาลงทุกพระองค์
น้ำทะเลบริเวณด้านในก็ใสและทรายก็ขาวมาก
หลังจากที่ก่อนเข้าไปชมยังจุดอื่นแวะสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ซึ่งตั้งอยู่ภายในพระจุฑาธุชราชฐาน
เรือนไม้ริมน้ำซึ่งปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นร้านกาแฟสุดคลาสิคให้บริการนักท่องเที่ยว
มาถึง เรือนวัฒนา ซึ่งข้างในจัดเป็นนิทรรศการเหตุการณ์สำคัญบนเกาะสีชังในสมัยรัชกาลที่ 5 มีทั้งรูปวาด รูปถ่ายเก่า และรูปปั้นสไตล์ยุโรป
เรือนผ่องศรี ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติและประวัติบุคคลผู้มีบทบาทสำคัญสำคัญเกี่ยวกับเกาะสีชังในอดีต
ถัดจากเรือนผ่องศรี คือ เรือนอภิรมย์ จัดแสดงนิทรรศการสิ่งปลูกสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5
ภายในพระจุฑาธุชราชฐานร่มรื่นด้วยต้นลีลาวดีซึ่งมีเยอะมาก กิ่งก้านสาขาใหญ่โต สวยงาม มีอายุกว่า 100 ปี เดินผ่านต้นลีลาวดีดอกไม้ประจำเกาะสีชัง ดอกไม้บางดอกก็กำลังร่วงสู่พื้น ให้อารมณ์เหมือนเราอยู่ในเทพนิยาย
หลังจากเห็นดอกลีลาวดีที่ร่วงอยู่บนพื้นมากมาย ก็นึกอยากได้ภาพมุมแปลกๆบ้าง เลยลองนั่งลงถ่ายภาพโดยใช้จอ LCD และหมุนจอให้ได้มุมกล้องช้อนขึ้นมา ประโยชน์ของมันก็ดีตรงนี้ทำให้เราได้สร้างสรรค์มุมภาพที่แตกต่างจากเดิม
เดินไปต่อไปยังจุดอื่น ทางชันขึ้นเพราะเริ่มขึ้นสู่ที่สูง ยังโชคดีที่มีถนนให้เดินแบบสะดวกสบาย และยังมีต้นลีลาวดีให้ร่มเงา ตรงจุดนี้เป็นจุดที่ไม่ค่อยมีคนเดินขึ้นมาเท่าใดนัก ส่วนใหญ่จะหยุดอยู่แค่ เรือนต่างๆ ที่อยู่ด้านล่าง
จุดนี้มีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญ คือ เจดีย์เหลี่ยม ซึ่งเป็นเจดีย์ก่ออิฐฉาบปูนรูปเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง
ในบริเวณเดียวกัน มี ระฆังหิน ตั้งอยู่ด้วย สาเหตุที่เรียกว่าระฆังหิน เพราะเวลาเอาหินก้อนเล็กไปเคาะจะมีเสียงก้องกังวาน ต่างจากหินธรรมดา ลองพิสูจน์แล้วเสียงเหมือนระฆังจริงค่ะ เท่าที่ทราบมีเพียง 2 แห่งในโลก อีกแห่ง คือ เกาะฮาวาย
มาถึงจุดสุดท้าย คือ วัดอัษฏางค์นิมิตร เป็นพระอุโบสถที่อยู่ในเขตพระราชวัง มีลักษณะแตกต่างจากที่อื่น คือ มีพระอุโบสถอยู่ใต้เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ลักษณะที่แปลกของพระเจดีย์คือมีการตกแต่งตามศิลปะแบบโกธิก ตรงประตูและหน้าต่างมีช่องแสงประดับด้วยกระจกสี
รูปโค้งยอดแหลม มีพระพุทธรูป ช่องแสงประดับด้วยกระจกสีเป็นลวดลาย เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2435 แทนวัดปลายแหลมที่เคยมี
พระเจดีย์อุโบสถนี้ตั้งอยู่บนเขา ณ ตำแหน่งที่สูง มองเห็นได้ชัด และจากองค์พระเจดีย์สามารถมองเห็นทัศนียภาพบริเวณพระราชฐานโดยรอบรวมถึงภูมิทัศน์ทางทะเลที่สวยงาม
ตะลอนเที่ยวมาทั้งวันถึงเวลาที่เราต้องไปพักผ่อน เกาะสีชังสามารถไปเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับหรือว่าจะพักค้างซัก 1 คืน เพื่อเข้าถึงธรรมชาติและบรรยากาศได้เต็มที่ ที่พักบนเกาะสีชังก็มีให้เลือกพักมากมาย ฉันเลือกพักที่ ปารีฮัท รีสอร์ท รีสอร์ทวิวสวยบนเกาะสีชัง อีกมุมนึงของเกาะสีชังที่พบระหว่างทางเข้าที่พักเป็นทุ่งหญ้าสีทองกว้างใหญ่สวยมากให้อารมณ์เหมือนเรากำลังนั่งรถผ่านทุ่งหญ้าซาฟารี อดใจไม่ได้ต้องให้รถจอดแล้วลงไปเก็บภาพ
มาถึงแล้ว ปารีฮัท รีสอร์ท จุดเด่นของที่นี่ คือ กระท่อมแบบธรรมชาติสไตล์บอร์เนียว หลังคามุงจาก ซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าผามองวิวได้แบบพาโรนาม่า Concept คือ ” กระท่อมริมผา มีน้ำทะเลกับฟ้าเป็นเพื่อน”
บรรยากาศภายในห้องพัก แบบแรกตกแต่งแบบใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม แต่ไม่ต้องเปิดพัดลมก็เย็นมาก เพราะลมพัดเข้ามาตลอด แต่สำหรับใครที่อยากนอนห้องแอร์ที่นี่มีห้องพักอีกแบบเป็นกระท่อมที่ทางรีสอร์ทตั้งชื่อว่า บ้านพักแบบเหนือธรรมชาติ คือ มีทั้งทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น แอร์
บ้านพักทุกหลังมีแปลเรือห้อยไว้ริมระเบียงและมีเก้าอี้ชายหาดบนเฉลียงไว้ให้ นั่งๆ นอนๆ รับลมชมวิวทะเล ฟังเสียงคลื่นกระทบผา
สิ่งพิเศษของที่นี่ คือ สามารถชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าสุดโรแมนติกได้จากหน้าที่พัก
อีก 1 แบบที่ชอบใช้ คือ แบบ Shade หรือในร่ม ภาพที่ได้ก็จะออกโทนส้มมากขึ้น
รูปสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ดวงโตจะลาลับขอบฟ้าจากหน้าที่พักปารีฮัทรีสอร์ท หลากหลายรสที่เกาะสีชัง ทั้งธรรมชาติอันสวยงาม อารมณ์แห่งความคลาสิคที่ยังไม่ได้จางหายไปตามกาลเวลา ทำให้ไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า เกาะสีชัง คือ อีกหนึ่งเกาะใกล้กรุงน่าเที่ยว หากใครได้มาต้องตกหลุมรักค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก
paiduaykan.com