Social :



เรื่องเล่า….จากต่างโลก

16 ก.ค. 59 22:18
เรื่องเล่า….จากต่างโลก

เรื่องเล่า….จากต่างโลก

เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้นั้น มาจากปากของเพื่อนผม เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมแต่เพื่อนผมอยากให้เขียนเรื่องนี้ อยากบอกเล่าเรื่องราวนี้ออกไป เพราะมันใกล้ตัวครับ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลมากๆ แล้วที่หลายๆคนสงสัยว่าผมแต่งรึเปล่า เพราะเวลาเล่าถึงเพื่อนละดูจะเหมือนพูดเอง ผมเลยพิมพ์เสดแล้วส่งให้เพื่อนอ่านก่อนครับ ถ้าอันไหนไม่จริง ตกหล่น หรือมันอยากอธิบายอะไรเพิ่ม ก็ให้มันบอกเลย เริ่มเลยนะครับ

ขอเริ่มก่อนว่าตัวผมนั้นมีความสามารถตรงนี้มานานแล้ว สำหรับผมผมคิดว่ามันนานมากครับ กับการใช้ชีวิตที่ผิดแผกไปจากคนปกติทั่วไป มันเริ่มจากตอนที่ผมเรียนอยู่ ม.4 นั่นคือจุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของผมเลย ม.4 มาตอนนี้ผมเรียน อยู่มหาวิทยาลัยแล้ว มันมีเรื่องราวมากมายครับ มีผู้คนมากมายที่เข้ามาในชีวิตทั้งแบบทั่วๆไป และแบบไม่ปกติ มีไม่น้อยที่เข้ามาเพราะเรื่องแบบนี้ ทำให้ตัวผมนั้นมีคนรู้จักอยู่เยอะพอสมควร นอกจากคนที่ผมเคยช่วยเหลือหรือให้คำปรึกษาแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่เป็น ‘เหมือนกัน’ อยู่ด้วย คอยช่วยเหลือ ถามไถ่ และ ‘ทำหน้าที่’ ไปด้วยกัน เป็น เพื่อนที่ดีครับ

เรื่องราวนี้เริ่มจากตัวผมมีคนรู้จักที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานหนึ่งของมหาลวิทยยาลัยที่ผมเรียนอยู่ ที่พิษณุโลก เวลาว่างๆผมมักจะแวะไปหาพี่คนนี้อยู่บ่อยๆ เพราะะสนิทกันด้วยแล้วก็มีแอร์เย็นๆ อย่างว่านะครับ เรื่องความร้อนและแดดนี่ ที่หนึ่งจริงๆ ส่วนมากก็จะไปเช้าๆ ไม่ก็บ่ายๆ ตึกที่พี่ผมทำงานอยู่นั้น ตรงกลางจะเป็นสนามหญ้าโล่งๆ มีทางเดินเป็นวงกลมล้อมรอบที่ตรงกลางนั้นมีต้นโพธิ์ใหญ่ตั้งอยู่ ทุกครั้งที่เดินผ่านผมก็จะยกมือไหว้ตลอด แต่ก็ไม่เคยได้เข้าไปดูใกล้ๆ เท่าที่เห็นก็มีคนไปกราบไหว้อยู่บ้าน เพราะเห็นมีขวดน้ำแดงมีธูปมีอะไร และก็มีผ้าสามสีเก่าๆที่าีซีดไปแล้ว มีศาลไม้เสาเดียวที่ทำแบบลวกๆ คิดว่าน่าจะมาจากคนงานก่อสร้างทำไว้ให้ก่อนที่จะสร้างอะไรแถวนี้ มีชุดไทยของผญแขวนอยู่ มีรอยแป้งด้วย = =’ อันนี้คงรู้ว่าคืออะไร

ทุกครั้งที่ผมไปผมก็จะเห็นเป็นเงาลางๆอยู่ที่ต้นไม้นั้นแต่ตัวผมไม่ได้สนใจอะไร เพราะถือคติว่า ไม่หาเรื่องใส่ตัวครับ การเป็นแบบนี้ต้องระวังตัวพอสมควรเลย หลายๆคนคงเข้าใจ

แต่มีอยู่วันนึงผมแวะไปหาพี่เขาตอนค่ำๆ เพราะพี่เขาอยู่ทำงานต่อผมว่างๆพอดีก็เลยไปนั่งเล่นแถวนั้น ตัวผมไม่ค่อยกลัวความมืดหรืออะไรเท่าไหร่อยู่แล้ว ผมนั่งคุยนั่งเล่นไปได้สักพักหนึ่ง ผมก็อยากเข้าห้องน้ำ พอเดินออกมา เวลาน่าจะซัก 2 ทุ่ม แต่เพราะมันไม่ใช่ตึกที่มีไว้เรียน มันเลยเงียบมาก หลังเลิกงานกก็ไม่มีใครเหลือแล้ว ผมเดินไปตามทางเพื่อจะไปห้องน้ำ เป็นทางเดินไมม่กว้างมากนั่ง ข้างนึงจะเป็นห้องทำงาน ส่วนอีกทางจะเป็นกำแพงกระจกที่มีหน้าต่างเปิดออกไปได้ คงเป็นเพราะมันค่ำแล้วเขาจึงปิดไฟไว้หมด เหลือก็แค่ไฟจากห้องที่พอจะมีคนทำงานอยู่บ้าง

นอกหน้าต่างตรงทางเดินนั้นมองเห็นสนามหญ้าได้อย่างชัดเจนเลย แต่ที่ชัดเจนกว่าคือต้นโพธิ์ คืนนั้นเป็นวันโกนครับ ใกล้พระจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าเลยสว่างพอสมควร เพราะมีพระจันทร์ดวงเบ้อเร่อ สะท้อนแสงอยู่บนฟ้าโดยไม่มีดาวมารบกวนเลย ผมเดิมไปเข้าห้องน้ำกลับมาตามทางเดิม คราวนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ผมอยากมองต้นโพธิ์นั้น มันรู้สึกเหมือนมีคนเรียก ไม่ได้เรียกชื่อ แต่มันเหมือนถูกสะกิดใจให้หันไปมอง ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสนามหญ้าโดนไม่มีอะไรบดบัง แสงของพระจันร์ที่สะท้อนลงมาทำให้เห็นต้นโพธิ์นั้นชัดเจน ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆหน้าต่าง เพื่อที่จะได้เห็นชัดขึ้น ผมเดินมาจนชิดขอบหน้าต่าง ผมกำลังจะเอื้อมมือไปดันหน้าต่างให้เปิดออก ก็ต้องหยุดไว้แค่นั้น เพราะในสายตาผม ปรากฏเงาคนร่างใหญ่ น่าจะประมาณ 2 เมตร อยู่ที่โคนต้น ผมพยายามมองให้ชัดเจนว่านั่นคือ คนรึเปล่า แต่ในใจก็รู้แหละครับว่าไม่ใช่

‘เห้ย พี่ทำงานเสดแล้วกลับๆ ดูไรอยู่วะ’ พี่ผมเดินมาเรียกเพราะทำงานเสดแล้วพอดี

‘ไม่มีไรพี่ ดูวิวเฉยๆ’ ผมเดินตามพี่ออกไป แต่ก็ยังหันหลังกลับมามอง สิ่งที่เห็นมีเพียงความว่างเปล่า ตรงนั้นไม่มีใครยืนอยู่แล้ง

ปกติผมจะไม่ติดใจกับการเห็นอะไรพวกนี้เท่าไหร่ครับ เพราะมันก็ชินแล้วด้วย บวกกับ คิดไปก้ไม่มีคำตอบครับ แต่ครั้งนี้แปลก ผมติดใจมาก ผมสงสัย และมันก็ยังคงตกค้างอยู่ในหัวผม จนผมกลับถึงหอ ไม่ว่าผมจะอ่านหนังสือ ดูทีวี เล่นเกมส์ คุยกับเพื่อน ออกไปหาอะไรกินรอบดึก ผมก็ยังไม่เลิกคิดครับ คคือจะว่าไปมันก็ไม่มีอะไรให้คิด แต่เราแค่สงสัย แล้วอยากรู้ให้ชัดเจนว่า ที่เราเห็น คือใคร!

พอทำทุกอย่างเสร็จแล้วผมก็ไปอาบน้ำ ในขณะที่อาบน้ำนั้นภาพร่างของชายคนนั้นยังคงชัดเจนในหัวผม ผมคิดอยู๋อย่างนั้น ตอนสวดมนต์ก่อนนอนก็ทำเอาไม่มีสมาธิเลย เอาแต่คิด ผมจึงตัดสินใจไปปิดไฟนอนดีกว่า แล้วคืนนั้น ผมก็ฝันครับ

ผมฝันว่าผมไปเดินอยู่ที่แห่งหนึ่ง เป็นดินสีแดงๆ มีเพิงไม้ที่สร้างไว้แบบลวกๆ เหมือนมีไว้เพื่อแค่บังแดดบังฝนเท่านั้น ในฝันผมเดินไปเรื่อยๆ มันโล่งมาก ไม่มีอะไรเลยนอกจากพื้นดิน และแม่น้ำ เดินมาได้สักพักผมก็เจอ ผชคนนึงยืนอยู่ เขาค่อยๆเดินมาหาผม ภาพที่เห็นคือเป็นชาย ร่างใหญ่ กำยำ ผมมองตั้งแต่เท้าขึ้นมา สะดุดที่เขาไม่ได้ใส่กางเกง แต่เป็นจงกระเบน พอเลยขึ้นมาที่ตัวก็มีรอยสักเต็มไปหมดไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ในมือข้างหนึ่งมีดาบ แล้วผมก็สะดุ้งตื่น เพราะนาฬิกาผลุก
ทั้งงวันนั้นผมคิดถึงฝันนั้น มันชัดเจนและติดตามากๆ ส่วนหนึ่งลึกๆในใจของผมบอกผมว่า เป็นเขาคนนั้น เขาอยู่ตรงนั้น ที่ต้นโพธิ์นั้น เขามาให้เห็น ผมรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาในจิตใจ วันทั้งวันผมก็สลัดเอาความคิดนี้ออกไปไม่ได้ จนในที่สุดหลังจากที่ผมได้ไปกินข้าวเย็นอะไรเสดเรียบร้อย ผมก็ขอให้เพื่อนตามไปเป็นเพื่อนผมหน่อย
พอไปถึง มันก็ประมาน 2 3 ทุ่ม เงียบมากไม่มีใครแล้ว พอผมบอกว่าจะเดินเข้าไป เพื่อนผมก็ปฏิเสธทันที เพราะมันไม่มีไฟ มันมืดมาก เพื่อนผมมันขี้กลัว มันก็ปล่อยให้ผมเข้าไปคนเดียว เป็นเพื่อนที่ดีมาก = =’
ตามทางเดินนั้นไม่ค่อยมีไฟครับ จะมีก็แต่ไฟจากในตัวตึกซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก คืนนั้นเป็นวันพระ จันทร์เต็มดวงด้วย เลยทำให้เห็นอะไรอยู่บ้าง พอเดินได้ครับ ทางเข้าต้องเดินผ่านซอกระหว่างตึกไป เพราะเข้าตึกไม่ได้ครับ ทางก็มืดมาก ผมเดินไปเรื่อยๆ ไม่ไกลก็เจอทางเดินวงกลม ที่ล้อมรอบสนามหญ้านั้นอยู่ ผมเดินผผ่านไปทางรกพอสมควรครับ เดินยาก มีต้นไผ่เล็กๆขวางอยู่เยอะเลย

แล้วผมก็เดินเข้ามาถึง ภาพตรงหน้า เล่นผมอยากเดินกลับเหมือนกัน ถึงจะชินๆแล้วแต่ใจก็ไม่แข็งเท่าไหร่ครับ ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ เริ่มสังเกตุเห็ต้นโฑธิ์ชัดขึ้น ผมคิดมาตลอดว่าเป็นต้นโพธิ์ใหญ่ แต่ผมคิดผิดครับ ความเป็นจริงมันน่าทึ่งกว่านั้นเยอะ ปรากฏว่าเป็นต้นโพธิ์นั่นหละครับ แต่เป็นต้นโพิ์สามต้นที่พันกันจนเป็นต้นใหญ่ต้นเดียว มองไกลๆอาจจะไม่ชัดมาก แต่ที่พื้นไปจนถึงประมาณระดาบสายตาเรานั้น ตเนโพธิ์ทั้งสามต้นแยกกันชัดเจน แต่ไปพันกันตั้งแต่ระดับประมาณหัวผม พอได้เข้าไปดูแล้ว เป็นต้นโพธิ์ที่ใหญ่มากๆ ที่ทำผมใจไม่ดีเลยคือชุดไทยที่แขวนอยู๋ครับ เล่นเอาหลอน

ผมเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ที่พื้นมีแต่ใบไม้แห้งเสียงฝีเท้าตัวเองก็หลอน เอง มีเสียงนกบนกระพือปีกพรึ่บพับๆ เล่นเอาขาสไม่ค่อยมีแรงเลยครับ ผมเดินเข้าไปใกล้ทีละนิดๆ ค่อยๆใช้สายตาสำรวจ มีเศษซากเครื่องเซ่นเก่าๆ ระเกะระกะมากเลย เหมือนมาไหว้ละทิ้งไม่เก็บกวาด ผมเดินมาเรื่อยๆ จนชิดกับต้นโพธิ์นั้น ผมเอื้อมมือไปแตะ
‘มาแล้วหรือ’ ทันทีที่มือผมแตะโดนต้น ก็มีเสียงหนึ่งดังก้องมาจากข้างหลังผม ผมหันไปทันที แต่พอผมหันไปผมก็ต้องตกใจกว่า เพราะภาพที่ผมเห็น ผมไม่ได้ตั้งตัว ไม่ได้เตรียมใจมา ถามว่าแบบนี้เคยเห็นมั๊ย ก็เคย แต่นี่มันไม่ได้เตรียมใจมา แล้วระยะห่างกันยังไม่เกิน ไม้บรรทัดเลยมั้ง

ภาพที่ผมเห็นคือ ภาพร่างผชคนเดียวกับในฝัน ที่บ่งบอกว่าใช่แน่ๆนั้นคือ ร่างสูงใหญ่ ล่ำกำยำ นุ่งจงกระเบน ทั่วลำตัวมีรอยสัก

MulticollaC
มือถือดาบ แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องรีบออกจากบริเวณนั้นในทันที นั่นคือ เขาไม่มีหัว!

ผมรีบเดินออกมาถึงที่ริมถนนที่เพื่อนผมจอดรถรอกันอยู่ 3 4 คน ผมคร่อมมอไซด์ได้ก็บิดกลับหอไม่รอใครคับ แล้วนั่งรอเพื่อนที่หน้าหอ มาถึงมันก็ด่ากันเปิง ว่าทำไมไม่รอ ผมก็เล่าให้พวกมันฟัง คราวนี้ต่างคนต่างเงียบ เข้าห้องกันอย่างสงบเลยทีเดียว

ภาพยังติดตาครับ แต่พอกลับมาที่หอตั้งสติได้ ก็ไม่กลัวครับทำใจได้ ก็ไปอาบน้ำ มาสวดมนต์ หลังสวดเสดผมก็นั่งสมาธิตามปกติ

‘หนีมาทำไม’ กระแสเสียงหนึ่งดังก้องในหัวผม

‘ตกใจครับ กลัว’

‘กลัวเขาทำไม เขามาทำร้ายหรือ ก็ไม่ใช่’

‘แล้วเขามาทำไมครับ’

‘ถามเขาเองสิ’

ในหัวผมนั้นเกิดภาพขึ้นมา จะเรียกว่าเป็นนิมิตก็คงได้ เป็นภาพต้นโพธิ์ต้นนั้นครับ แต่คราวนี้มีแสงสว่างคล้ายตอนกลางวัน ไม่น่ากลัว ที่ด้านหน้าของผมมีร่างหนึ่งที่ประกอบขึ้นจากแสงสว่างจ้านำทาง ไปถึงที่หน้าต้นโพธิ์ สิ่งที่เห็นคือ ทหารคนเดิมคนนั้นนั่งคุกเค่าอยู่กับพื้นพร้อมกับพนมมือ ก้มลงกราบที่แสงสว่างตรงหน้าผม คราวนี้เขามีหัวครับ หน้าตาคมเข้มสมเป็นคนโบราณ

‘ถามเขาสิ’ แสงนั้นสั่งมาที่ผม

‘เป็นใครครับ มาให้ผมเห็นทำไม อยากได้อะไรครับ’

‘ช่วยผมด้วย ผมอยากทำงาน ผมอยากรับใช้ท่าน’ ทหารคนนั้นตอบผมพร้อมกับท่าทางสะอึกสะอื้นร้องไห้

ผมหลุดออกจากสมาธิ พร้อมอาการปวดหัว เดิมทีผมเป็นไมเกรนอยู่แล้วด้วย เลยทรมานไปใหญ่ ผมกราบลาพระ พร้อมปิดไฟ เตรียมนอนทันทีครับ ผมเคยถามผู้รู้มาว่า หากผมมีบารมีมากพอ หรือปฏิบัติมากพอแล้ว อาการปวดหัวเหล่านี้จะหายไปครับ แต่อย่างว่า คือผมก็ขี้เกียดเองแหะๆ แต่ก่อนที่ผมจะหลับผมติดใจกับคำพูดที่ว่า

ผมอยานห่วง

‘ขอกระดาษ ดินสอหน่อย’ ผมก็หาให้แบบ งง ๆ พอดีมีติดกระเป๋าอยู่

‘พี่เห็นอะไรอยู่ในหัวไม่รู้’ พี่เขาก็เงียบไปแล้วลงมือวาด วาดไปได้สักพักนึง พอภาพเสด แต่ตอนนั้นเป็นแค่ภาพร่างดินสอนะครับ แต่ลักษณะอะไรใกล้เคียงกับ ผช ที่ผมเห็นมาก เรียกว่าเหมือนเลยก็ได้ ผมก็อึ้งๆอยู่ เลยโทรไปหาปู่กันว่าเอาไงดี

‘สงสัยต้องรีบแล้วล่ะ เขาคงอยากได้ศาลแล้ว’ ปู่ตอบผ่านโทรศัพท์มา

‘เอาไงดีอะ ทำไงดีครับ’

‘บอกให้มันไปวาดรูปมาใหม่ วาดรูปลงสีมาเลย ไปนั่งในห้องพระ วาดให้มันชัดเจน’ ปู่ฝากผมบอกพี่คนนั้น

พวกผมก็แยกย้ายกันกลับ จนตอนกลางคืนผมก็ไหว้พระนั่งสามธิของผมไปปกติ ไม่ได้คิดอะไร แล้วก็มีภาพเข้ามาในหัวอีก เป็นที่ดินโล่งๆที่เดิมครับ แล้วมีนายทหารคนนั้นนั่งอยู่ ผมเดินเข้าไปหาเพราะคราวนี้เขามาในสภาพดีมาก ไม่น่ากลัว พอไปนั่งข้างหน้าเขา เขาก็เร่มเล่าเรื่องของเขาให้ผมฟัง ถ้าเอาอย่างละเอียดๆเลยนั้นผมจำไม่ได้ ไปอ่านอันชัดเจนๆได้ที่ศาลเลยครับ ผมจำได้คร่าวๆว่า

‘ที่ตรงนี้เคยเป็นค่ายหน้า ตอนสมัยนั้นช่วงทำสงคราม ตัวเขาเป็นหัวหน้าหมู่เล็กๆ เป็นทัพหน้า ทำหน้าที่เฝ้ายามอยู่แถวนี้ ในตอนกลางคืนคืนหนึ่ง มีทัพพม่ามา จะมาโจมตี แต่หนีไม่ทันเพราะว่าไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ตัวเขากับลูกน้องไม่กี่คน ได้คุยและตกลงกันว่า จะเป็นเหยื่อล่อให้ เพื่อให้ทัพใหญ่หนีไปตั้งหลักได้ ซึ่งนั่นก็หมายถึงสละชีวิตนั่นเอง แล้วในคืนนั้นพวกเขาทั้งกลุ่มก็โดนฆ่าตายตรงนั้น ที่บริเวณต้นโพธิ์นั้นเลย ตัวเขาโดนฟันที่คอจนขาด แล้วทัพหลวงก็ไปตั้งหลักได้อย่างปลอดภัย’
แล้วผมก็รีบลุกไปนั่งหน้าคอม พิมพ์เรื่องราวเท่าที่จำได้ลงในword แล้วรีบส่งให้พี่คนนั้นเลย พี่คนที่วาดรูป พอพี่เขาได้อ่านพี่เขาก็ไม่มีความรู้สึกขัดแย้งอะไร แต่มีเสริมๆบ้าง พร้อมกับพี่เขาสแกนรูปที่เขาวาดส่งมาให้ผมดู เป็นรูปที่วาดด้วย มือล้วนๆ นะครับ ปัจจุบันศาลที่ตั้งอยู่ก็เป็นรูปนี้ที่ใช้มือวาดครับ

เมื่อทุกอย่างพร้อมพวกเราพร้อมกับปู่ก็ตกลงว่าจะตั้งศาลกันในอาทิตย์ถัดไป

เมื่อวันตั้งศาลมาถึง เช้าวันนั้นวุ่นวายมากครับ นอกจากพวกผมเองแล้วยังมีพนักงานแม่บ้านน้ายามอะไรที่ทำงานแถวนั้น เจ้าหน้าที่หลายๆคนมาร่วมกันหมดเลย ผมว่าเขาก็คงเคยเจออะไรมากันบ้าง วันนั้นมีคนมาร่วมงานเยอะครับ ต่างคนก็เอาของมาร่วมเอาอะไรมาไหว้ร่วมด้วย วันนั้นแดดร้อนมาก ตอน 8 โมง ผมนี่เหงื่อไหลจนแฉะเลย เดินจัดของจัดอะไรก็เหนื่อยด้วย แต่พอเริ่มพิธียกศาล แดดที่ร้อนๆ ก็ยังร้อนอยู๋ครับ แต่มีลมเย็นๆอ่อนๆ พัดมาตลอดบวกกับเงาของต้นโพธิ์นั้นบังแดดให้ทุกคนที่มาร่วมงาน เป็นบรรยากาศที่ดีเลย แล้วผมก็เห็นว่ามีทหารคนหนึ่งคนเดียวกับที่พวกเราเคยเห็น นั่งร่วมอยู่ในงาน อยู่หน้าสุดตรงที่ปู่ยืนทำพิธี ข้างๆกันมีร่างหนึ่งที่ไม่คุ้นตา เป็นหญิงสาวผมสีดำเข้มสลวยเลย นั่งอยู่ข้าง ทราบภายหลังว่าเป็นนางไม้ต้นนั้นล่ะครับ

มาถึงจุดสำคัญของพิธีก็คือ เชิญท่านขึ้นศาลแล้วพันผ้ารอบต้น เป็นผ้าสามสี แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วครับ เปลี่ยนทุกปีช่วงสงกรานต์ โชคดีที่วันนั้นได้หัวหน้าแผนกที่พี่ผมทำงานอยู่มาร่วมด้วย เลยมีประธานในงาน เดินวนพันผ้า บวกกับ เจิมพรมน้ำอบน้ำมนต์กัน วันนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นครับ

พอเสดงานทุกคนก็แบ่งของไหว้กันกลับไปคนละนิดละหน่อยเพราะคนมาเยอะเลย ก่อนกลับผมก็หันกลับไปมองเห็นเป็น ทหารคนนั้นกับผู้หญิงคนนั้นยืนยิ้ม อยู่ที่หน้าศาล แล้วมีประโยคลอยมาตามลมว่า

‘ขอขอบคุณทุกคน เราจะอยู่ตรงนี้ เพื่อเป็นกำลังให้องค์เหนือหัว’ ผมเชื่อว่าผมไม่ได้ยินคนเดียว เพราะปู่ กับพี่คนที่วาดรูป ก็ยิ้มออกมาด้วย

หลังจากที่ตั้งศาลกันแล้วตอนนี้ก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากครับ มีคนเอาของมาถวาย มีชุดไทยเพิ่มมาหลายชุดเลย มีทั้งผ้าขาวม้า ดาบจริงๆ อะไรมาวางเต็มเลย จากที่รู้มาก็คือมีคนไปขอโชคขอลาภ แม่บ้านนั่นล่ะครับ เจ้าหน้าที่ก็มี ก็ได้โชคไปตามๆกัน ตอนนี้มีคนกราบไหว้เยอะครับ ท่านศักดิ์สิทธิ์ และอีกอย่างคือท่านคุ้มครองทุกคน ผมเคยพาเพื่อนที่ผีเข้าไปไหว้ ก็หายเลยครับ ไม่มาโดนรบกวนอีก จะทำงานทำค่ายอะไรกันก็ไปขอให้ท่านพางานไปให้รอดปลอดภัย ก็แปลกดีครับก่อนค่ายฝนตกหนักมาก ระหว่างค่ายนไม่มีเลย แต่หมดค่ายปุ๊บ มาอย่างหนัก

ก็ใครอยากไปไหว้ก้ชิญเลยครับ แนะนำว่าอย่าไปขอโชคกันมากนะครับ 555 เงินทองต้องสองมือทำครับ

ตึกนี้อยู่ใกล้คณะวิทย์ครับ ข้ามถนนไปก็ถึง มีศูนย์สัตว์ทดลองอะไรสักอย่างอยู่ด้วย

โพสต์โดย : nampuengeiei9760